วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2562

"เริ่มรู้เล" ก่อนจะรักต้องทำความรู้จักกันก่อน

   เริ่มรู้เล” มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับทะเลไทย เพื่อเป็นปฐมบทของการที่จะทำให้ได้รู้จัก และรักทะเล  เพราะถ้าคนเราจะรักอะไรสักสิ่งอย่าง ควรต้องเริ่มต้นจากการเรียนรู้และทำความรู้จักกันเสียก่อน และเมื่อคุณมองเห็นในความดี มันจะทำให้คุณเริ่มรักในตัวเขา คงเหมือนกัน ถ้าคุณได้รู้จักเรื่องราวดีๆของทะเลไทยเพิ่มขึ้น คุณก็จะยิ่ง"รักเลเรา"มากขึ้นด้วยเช่นกัน
   ขึ้นชื่อว่าทะเลนั้นมีหลากเรื่องราวหลายแง่มุมให้พูดถึง โดยผู้เขียนจะกล่าวถึงเรื่องราวของท้องทะเลไทยในมุมของการท่องเที่ยวแบบ "รู้จักธรรมชาติ"  
       "เที่ยวทะเลไทย ไปได้ทั้งปี" คำนี้คงไม่เกินความจริงครับ เพราะประเทศไทยเรานี้ มีพื้นที่ติดกับทะเลทั้งฝั่งอ่าวไทยฝั่งอันดามัน ด้วยสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการท่องเที่ยวทะเลของบ้านเรา ทำให้ในช่วงที่เป็นฤดูมรสุมของทางฝั่งอันดามัน ทะเลฝั่งอ่าวไทยเราจะมีคลื่นลมสงบสามารถท่องเที่ยวได้ และในช่วงฤดูฝนที่ฝั่งอ่าวไทยมีคลื่นลมแรง เราก็สามารถเที่ยวทะเลฝั่งอันดามันได้เพราะเป็นช่วงปลอดมรสุมพอดี (โอ้!เมืองไทย เมืองสวรรค์ของคนรักทะเล) 
ช่วงเวลาที่ทะเลปลอดจากลมมรสุมและเหมาะสำหรับท่องเที่ยว  
ฝั่งอันดามัน และฝั่งอ่าวไทยตอนบน,ภาคตะวันออก เริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนเมษายน  
ฝั่งอ่าวไทยภาคใต้ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงเดือนตุลาคม
**สภาพอากาศอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาก่อนเดินทางท่องเที่ยวหรือทำกิจกรรมทางทะเล ควรตรวจเช็คสภาพอากาศเพื่อการเดินทางที่ราบรื่น ปลอดภัย**
 ภาพจาก https://www.dmcr.go.th/itcenter/downloadsPage/3/3/
มาทำความรู้จักกับทะเลไทยกัน 
เมืองไทยเรามีจังหวัดที่ติดชายฝั่งทะเลอยู่ 23 จังหวัด
ติดทะเลฝั่งอันดามัน 6 จังหวัดคือ  ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล
ติดทะเลฝั่งอ่าวไทย 17 จังหวัดคือ ตราด จันทบุรี ระยอง ชลบุรี สมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี นราธิวาส   
ประเทศไทยมีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลรวมแล้วทั้งหมดยาวประมาณ 2,815 กิโลเมตร 
มีเกาะในน่านน้ำไทยรวมทั้งหมด 936 เกาะ ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ 19 จังหวัด
โดยมีถึง 491 เกาะที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล อยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอยู่ในความดูแลของกองทัพเรือเพื่อกิจการด้านความมั่นคงของประเทศ  
ทะเลฝั่งอันดามันมี 562 เกาะตั้งอยู่ในพื้นที่ของ 6 จังหวัด คือ
1. จังหวัดพังงา 155 เกาะ มีจำนวนเกาะมากที่สุดในประเทศ
2. จังหวัดกระบี่ 154 เกาะ  มีจำนวนเกาะเป็นอันดับที่สอง
3. จังหวัดสตูล 106 เกาะ
4. จังหวัดระนอง 56 เกาะ
5. จังหวัดตรัง 54 เกาะ
6. จังหวัดภูเก็ต 37 เกาะ โดยมีเกาะภูเก็ตเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ (514.675 ตร.กม.)
ทะเลฝั่งอ่าวไทยมี 374 เกาะตั้งอยู่ในพื้นที่ของ 13 จังหวัด คือ
1.จังหวัดสุราษฎร์ธานี 108 เกาะ เป็นจังหวัดที่มีจำนวนเกาะเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ และมีเกาะสมุยเป็นเกาะที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ (236.079 ตร.กม.)
2.จังหวัดตราด 66 เกาะ มีเกาะช้างเป็นเกาะที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ (212.404 ตร.กม.)
3.จังหวัดชุมพร 54 เกาะ
4.จังหวัดชลบุรี 47 เกาะ
5.จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 23 เกาะ
6.จังหวัดจันทบุรี 19 เกาะ
7.จังหวัดพัทลุง 18 เกาะ
8.จังหวัดระยอง 16 เกาะ
9.จังหวัดนครศรีธรรมราช 9 เกาะ
10.จังหวัดสงขลา 6 เกาะ
11.จังหวัดปัตตานี 4 เกาะ
12.จังหวัดนราธิวาส 3 เกาะ
13.จังหวัดฉะเชิงเทรา 1 เกาะ
ขอขอบคุณ แหล่งข้อมูลอ้างอิง : กองแผน ศูนย์สารสนเทศ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

      จากข้อมูลของทะเลไทยที่ได้นำเสนอไปแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าทรัพยากรแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลของไทยนั้นมีมากมาย และในความมากมายนั้น ยังมีความหลากหลายของพืชพันธุ์ และสิ่งมีชีวิตในทะเลอีกด้วย ทะเลนั้นมีความสำคัญกับทุกๆชีวิตบนโลกไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ทั้งเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญ เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ  เป็นเส้นทางตมนาคมขนส่งสำคัญที่เชื่อมต่อกันได้ทั่วโลก  และยังมีด้านอื่นๆอีกมากที่ทะเลมีความผูกพันกับชีวิตเราทุกคนนอกเหนือจากเรื่องของการท่องเที่ยว
      ถึงตรงนี้แล้วลุงแบ็คแพ็ตเองก็แอบหวังใจลึกๆอยากเห็นทุกคนตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญ ช่วยกันดูแลรักษาอนุรักษ์ท้องทะเลไทย ให้ยังคงเป็นคลังอาหาร ยังคงความเป็นบ้านของสัตว์ทะเล และยังตงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามเสมอ เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นลูก รุ่นหลานต่อไป

“เพราะทะเลคือชีวิต ชีวิตคือทะเล” 

วันเสาร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2562

เที่ยวกับทัวร์ vs เที่ยวแบบแบ็คแพ็ค


เปรียบเทียบข้อเด่น และข้อด้อย ของการท่องเที่ยวแบบใช้บริการบริษัททัวร์ กับ การท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็ค

การท่องเที่ยวแบบใช้บริการบริษัททัวร์
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก http://cnxjapaneseguide.blogspot.com/
ข้อเด่น
แสนสะดวกสบาย ถ้าคุณได้ท่องเที่ยวกับบริษัททัวร์ที่ดี และมีมาตรฐาน เพราะจะมีคนคอยอำนวยความสะดวกให้คุณแทบทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่ในเรื่องทำประกันภัยการเดินทางให้ จัดหายานพาหนะเพื่อเดินทางไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆตามโปรแกรม ,มีมัคคุเทศก์คอยให้ความรู้ ,จัดที่พักไว้ให้เราใช้บริการ ,รวมถึงจัดอาหารให้ทุกมื้อ แถมยิ่งถ้าเป็นบริษัททัวร์ที่ดูแลดีๆ ก็จะมีทั้ง ของว่าง เครื่องดื่ม ไว้คอยให้บริการตลอดการเดินทาง เรียกได้ว่า ถ้าคุณได้จองทัวร์ท่องเที่ยวแล้ว คุณก็เพียงเก็บกระเป๋าเสื้อผ้า และกล้องถ่ายรูป แล้วรอเดินทางเที่ยวกับเค้าได้เลย โดยไม่ต้องคอยกังวลใจกับเรื่อง “ปัจจัยพื้นฐานของการเดินทาง คือ ยานพาหนะ อาหาร ที่พัก”คุณจะมีเพียงหน้าที่เดินทางเพื่อ เที่ยวชม ชิม ช๊อป แชะ แวะฉี่ และมีความสุข 
ข้อด้อย
มีข้อจำกัดของการเดินทางค่อนข้างมาก ในการท่องเที่ยวในแบบใช้บริการบริษัททัวร์โดยถ้าคุณไม่ได้เดินทางกันเป็นครอบครัวหลายๆคน หรือเป็นหมู่คณะ แล้วคุณจะไปเที่ยวกับบริษัททัวร์แบบเดินทาง 1-2 คน จะต้องซื้อแพ็คเกจจากบริษัททัวร์เพื่อเดินทางท่องเที่ยวร่วมกับผู้อื่นที่ซื้อทัวร์เดียวกัน ตามวันเวลา ยานพาหนะ อาหาร ที่พัก และโปรแกรมท่องเที่ยว ที่ทางบริษัททัวร์จัดไว้ให้ทั้งหมด  หรือถ้าอยากเที่ยวทัวร์แบบส่วนตัวไม่ต้องเดินทางร่วมกับผู้อื่น เลือกยานพาหนะที่ใช้เดินทางเอง สามารถกำหนดวันเวลาเดินทางเองได้ อาจใช้วิธีซื้อแพ็คเกจทัวร์กับโรงแรม รีสอร์ทที่พัก ที่เค้ามีบริการนำเที่ยวพ่วงมาด้วยก็ได้ แต่วิธีหลังนี้ก็ต้องแลกด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าการซื้อการแพ็คเกจจากบริษัททัวร์ที่ต้องเดินทางร่วมกับผู้อื่น   

การเที่ยวแบบแบ็คแพ็ค
ขอขอบคุณกราฟิกจาก  <a href="https://th.pngtree.com/freepng/backpackers_2702835.html ">pngtree.com</a>
ข้อเด่น
เที่ยวได้ตามใจอยาก มีอิสระในการท่องเที่ยว ด้วยคุณเป็นคนกำหนดทุกอย่างเอง ว่าต้องการเที่ยวแบบไหน กับใครเดินทางอย่างไร ใช้เวลาเท่าไหร่ อยากกินอะไร ทำให้คุณเป็นผู้ควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งทั้งหมดในการเดินทางได้ด้วยตัวเอง
ข้อด้อย
ต้องดูแลตัวเองในทุกเรื่อง คิดเอง เที่ยวเอง ก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับ ทั้งเรื่องปัจจัยพื้นฐานของการเดินทาง คือ ยานพาหนะ อาหาร ที่พัก และที่สำคัญที่สุดคือต้องดูแลเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง และผู้ร่วมเดินทางด้วย

   โดยความคิดเห็นของผู้เขียนนะครับ เมืองไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย อีกทั้งความปลอดภัยค่อนข้างสูง  อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์ ทั้งที่พัก การเดินทาง ก็มีให้เลือกพัก เลือกเที่ยวหลากสไตท์หลายราคา "สุขใจจังได้เกิดเป็นคนไทย"    
   การเที่ยวกับบริษัททัวร์ก็ดี เพราะแสนสะดวกสบายมีคนดูแลให้ทั้ง ที่กิน ที่พัก ที่เที่ยว มีเพื่อนร่วมทางที่ชอบเที่ยวแนวเดียวกัน แถมยังได้ความรู้ได้จากคุณไกด์ด้วย ชึ่งผมว่าการท่องเที่ยวกับผู้ที่มีประสบการณ์ในการเดินทางนั้น คุณก็จะเดินทางได้อย่างสบายใจ เพราะเค้าจะนำเอาประสบการณ์จากการเดินทางครั้งก่อนๆนั้นมาจัดการกับปัญหาที่จะมารบกวนใจคุณในระหว่างการเดินทางได้ 
   การเดินทางท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็คก็ดี เพราะในการเดินทางนั้นมันจะเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆให้กับตัวคุณ โดยไม่ต้องมีกรอบเรื่องเวลา และสังคมมาคอยบังคับเหมือนตอนอยู่ในที่ทำงาน คุณจะมีอิสระ ได้ใช้เวลาดื่มด่ำกับสถานที่ที่คุณเคยฝันอยากจะมาอย่างเต็มอิ่ม 
**แบ็คแพ็คเกอร์หรือเขียนอีกอย่างว่า แบกแพ็กเกอร์ ถ้าแยกคำตามความหมายก็หมายถึง คนที่บรรจุสิ่งของไว้ด้านหลังซึ่งก็คือ การแบกกระเป๋า หรือเป้ นั่นเอง ดั้งเดิมริเริ่มมาจากชาวต่างชาติเดินทางแบกเป้ออกท่องเที่ยวไปทั่วโลกเน้นความประหยัดแล้วได้กลายเป็นคำศัพท์เฉพาะที่หมายถึงการเดินทางท่องเที่ยวแนวนี้ว่า "แบ็คแพ็คเกอร์" หรือ "แบกแพ็เกอร์"หรือ"Backpacker" มาจนถึงปัจจุบัน **

ขอขอบคุณข้อมูล**-**(แบ็คแพ็คเกอร์) ที่มาจาก : www.111thailand.com/index.php?option=com_content&view=article&id=128:2010-04-21-07-34-04&catid=57:2009-12-29-06-43-28&Itemid=85

www.bearpacker.wordpress.com/2012/08/29/10ของจำเป็นสำหรับ-backpacker/
www.trekkingthai.com/cgi-bin/webboard/print.pl?

content=1264&board=travel

   และตามที่ได้นำเสนอ ข้อเด่น ข้อด้อย ของการท่องเที่ยวทั้งสองแบบมาแล้วนั้น ผู้เขียนมีจุดประสงค์เพียงเพื่อให้เห็นความแตกต่างกันของการท่องเที่ยวทั้งสองประเภท เพื่อให้นำไปประกอบการตัดสินใจ ว่าจะเลือกเที่ยวแบบแบ็คแพ็ค หรือเลือกเที่ยวกับบริษัททัวร์ แบบไหนจะเหมาะสมตรงใจ กับจริตความชอบ เวลา และงบประมาณของผู้เดินทางมากที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2562

ลุงแบ็คแพ็ค "สร้างการเดินทางด้วยตัวเอง"

ลุงแบ็คแพ็ค 
     ก่อนอื่นต้องขออนุญาตแนะนำตัวด้วยการเล่าเรื่องของตัวเองให้ได้รู้จักกันก่อนนะครับ ผมเกิดที่ จ.ตรัง เป็นลูกชายคนที่ จากพี่น้องทั้งหมด คน ทางบ้านฐานะปานกลาง คุณพ่อทำงานเป็นครู คุณแม่ทำงานเป็นนางพยาบาล  เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ขึ้นชั้นประถม จนเรียนจบ ป.ตรีในสาขานิเทศศาสตร์ในปี 2544 แต่ตลอดชีวิตการทำงานแทบไม่มีโอกาสทำงานในแวดวงสื่อสารมวลชนตามที่ตัวเองได้เรียนมาเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เขียนอะไรเป็นเรื่องเป็นราว ถ้ามีสิ่งไหนผิดพลาดประการใด ต้องกราบขออภัยครู อาจารย์ที่เคยสั่งสอนมา และท่านผู้อ่านมา ณ.ที่นี้ด้วยนะครับ
   ผมเริ่มทำงานครั้งแรกตั้งแต่อายุประมาณ 19 ปี ด้วยคำแนะนำจากคุณพ่อให้ลองไปทำงานทัวร์กับไกด์ท่านนึง ซึ่งผมเองได้มารู้หลังจากเริ่มงาน(ตำแหน่งเด็กเสิร์ฟผ้าเย็น) ว่าท่านเป็นไกด์ ที่เก่งมากๆสังเกตได้จากรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะของลูกทัวร์ตลอดการเดินทาง จากการได้ทำงานกับท่านในครั้งนั้น มันทำให้ผมหลงรักในมนต์เสน่ห์ของการท่องเที่ยว จนทำให้ผมได้ทำงานอยู่ในแวดวงการท่องเที่ยวนานร่วม 20 ปี “ด้วยเสน่ห์ของการท่องเที่ยวที่ทุกคนมีจุดหมายเดียวกันคือออกเดินทางเพื่อแสวงหาความสุข” เพราะฉะนั้น ในมุมมองของผมอาชีพนี้เป็นอาชีพที่สร้างความสุขให้กับผู้อื่น
    ด้วยปัญหาด้านสุขภาพของตัวเองซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการทำงานโดยไม่ถนอมร่างกายมาเป็นเวลานาน ทำให้ต้องหยุดบทบาทในวงการทัวร์ ไปโดยปริยาย ปัจจุบันผมช่วยงานที่บ้านเล็กๆน้อยๆครับ เลี้ยงปลา เลี้ยงสุนัข ดูแลต้นไม้ ใช้ชีวิตแนวสโลว์ไลฟ์ (ต้องสโลว์เพราะสปีดไม่ไหว)ที่พอจะเป็นสีสันให้ชีวิตเรียบๆหน่อยก็คือ สื่อโซเชียลมีเดียซึ่งมีอยู่วันนึง ผมเปิดหาวีดีโอในช่องยูทูปดูขำๆ ปรากฏว่าไปเจอรายการท่องเที่ยวของคุณเรย์ แมคโดนัล ตอนพาไปเที่ยวเกาะหมาก จ.ตราด ซึ่งพอดีเป็นเกาะที่ผมยังไม่เคยไป(ผมเป็นคนชอบเที่ยวทะเลอยู่แล้ว)เลยดูจนจบตอน และตามมาด้วยตอนที่สอง สาม...จนเช้า
   “ความสุข” ใช่แล้ว!! พี่เรย์ ยังสามารถสร้างความสุข และแรงบันดาลใจให้กับเราได้จากการบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของตัวเองเป็นวีดีโอท่องเที่ยวเกาะในทะเลไทยความยาวแค่ประมาณไม่เกิน 50 นาที แล้วตัวเรา ซึ่งมีประสบการณ์ในการเดินทางมาร่วม 20 ปี ทำไมไม่ลองนำความรู้ และเรื่องราวของการเดินทางมาเรียบเรียงและถ่ายทอดให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นๆได้รับรู้บ้าง“เพื่อให้ผู้ที่รักในการเดินทางเหมือนกับเรา นำไปประยุกต์ใช้สร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวของตนเองได้อย่างมีความสุขดื่มด่ำกับประสบการณ์ท่องเที่ยวอย่างเต็มอรรถรส” ส่งต่อความรู้ของเราให้กับผู้อื่น ให้เค้าได้นำไปใช้สร้างความสุขให้กับตัวเอง ครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง จึงเป็นแนวคิดที่มาทำให้เกิดบล็อกนี้ขึ้น
ขอขอบคุณคุณเรย์ แมคโดนัล ผู้ทีสร้างแรงบันดาลใจไว้ ณ.ที่นี้ด้วยครับ

   แนะนำตัวเองพอควรแล้ว ขอนำเข้าสู่เนื้อหาเลยนะครับ ที่ต้องให้ผู้อ่านได้รู้จักกับผู้เขียนก่อน เพื่อจะได้นำเข้าสู่เรื่องราวในบทนี้  ซึ่งจะว่าด้วยเรื่อง สร้างการเดินทางด้วยตัวเอง (ในสไตล์แบ็คแพ็ค) ซึ่งผมจะเปรียบเทียบแต่ละขั้นตอนเหมือนการต้มน้ำร้อนเพื่อชงกาแฟ ทั้งนี้เราที่มีไฟในการท่องเที่ยวอยู่ในตัวกันอยู่แล้ว แต่จะเที่ยวอย่างไรเพื่อ ให้ได้อรรถรสที่สุด คุ้มค่ากับเงิน และเวลาที่เราต้องเสียไป  คำตอบคือการเตรียมตัวก่อนเดินทาง  เหมือนคำที่ว่า" "รู้เขา รู้เรา เที่ยวร้อยครั้ง สนุกร้อยครั้ง "
 1 เตรียมตัวหาข้อมูล (เติมฟืน)
 2 วางเส้นทาง กำหนดเวลาเดินทาง (ตั้งกาน้ำร้อน)
 3 ประเมินค่าใช้จ่ายในการเดินทางล่วงหน้า (เตรียมเมล็ดกาแฟ)
 4  เตรียมตัวเดินทาง (น้ำเดือด)
 5 ออกเดินทาง (ชงกาแฟ) เก็บเกี่ยวเรื่องราว และความสุขระหว่างการเดินทาง (ละเมียดชิมกาแฟ)
 6 เก็บภาพถ่ายและเรื่องราวมาแบ่งปัน (มีพลัง สดชื่น แจ่มใส)
   ทั้งนี้เนื้อหาในบางส่วนอาจมีทั้งเรื่องเก่าหรือเรื่องใหม่ที่ท่านผู้อ่านอาจทราบข้อมูลอยู่แล้ว หากมีข้อมูลที่ขัดแย้งกัน หรือเห็นว่ามีข้อบกพร่องในส่วนไหน รบกวนส่งข้อคิดเห็นถึงผู้เขียนด้วยนะครับจะเป็นพระคุณยิ่ง เพราะ”ถ้าการติเป็นการติเพื่อให้ก่อเกิดคุณประโยชน์ ผมยินดีรับคำติเป็นอย่างยิ่งครับ ยังไงก็อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะครับ ทั้งนี้ผู้เขียนมีความตั้งใจจะบอกเล่าเรื่องราวให้ทั้งผู้ไม่รู้ได้รู้ และผู้รู้แล้วจะได้รับรู้เพิ่มขึ้น หรือเพื่อย้ำเตือนความทรงจำ  เพราะบางสิ่งเล็กๆน้อยๆอาจมีส่วนสำคัญมากในการเดินทาง
“เที่ยวสนุก ประหยัด ประทับใจ และต้องเดินทางด้วยความปลอดภัยเป็นสำคัญ”

สร้างการเดินทางด้วยตัวเอง
   1 เตรียมตัวหาข้อมูล (เติมฟืน) คนเราล้วนต่างก็มีความเป็นนักเดินทางกันอยู่ในตัวแทบทุกคนอยู่แล้ว ดูได้จากการที่ตัวเราที่เริ่มหัดคลานจนเริ่มเดิน พอเดินได้ เราก็หัดวิ่ง เหมือนสัญชาตญาณในตัวมันเรียกร้องให้เราไปรู้โลกกว้างตั้งแต่เริ่มตั้งไข่ และด้วยสัญชาตญาณการเป็นนักเดินทางที่มีติดตัวเรามาอยู่นี้  จงใช้มันในการ สร้างความสุข เติมพลังให้กับชีวิต สร้างแรงบัลดาลใจตัวเอง และผู้อื่น
    แล้วเราจะไปเที่ยวไหนดีอาจเป็นคำถามในใจของบางคนที่ยังไม่มีจุดหมายของการเดินทางท่องเที่ยวของตัวเอง ซึ่งถ้าตัวเองยังไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนดี ขอแนะนำอย่างนี้นะครับ ให้เริ่มจากจริตความชอบของตัวเองก่อน เช่น ถ้าชอบทำบุญก็เลือกวัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลัก(ใช้เวลาเต็มที่) ส่วนสถานที่เที่ยวอื่นๆถือเป็นส่วนรอง(ใช้เวลาตามความเหมาะสม) โดยอาจหาไอเดียในการสร้างโปรแกรมท่องเที่ยวของตัวเองได้จากการดูรายการท่องเที่ยวที่ชอบ หรือได้จากข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวในเว็บไซต์ท่องเที่ยวต่างๆ

   2 วางเส้นทาง กำหนดเวลาเดินทาง (ตั้งกาน้ำร้อน) เมื่อมีจุดหมายปลายทางแล้ว จากนั้นให้หาข้อมูลเพิ่มเพื่อใช้ในการวางเส้นทาง กำหนดวันเดินทาง  โดยเริ่มจากการวางเส้นทางว่า เราจะเดินทางแบบไหนอย่างไรให้เหมาะกับตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นถ้าเราจะไปเที่ยวทะเลตรังโดยออกเดินทางจากกรุงเทพฯ สามารถเดินทางไปได้ทั้ง ทางรถทัวร์ รถไฟ เครื่องบิน ก็ให้เลือกการเดินทางที่เหมาะสมกับเวลา ค่าใช้จ่าย ความชอบของตัวเองที่สุด และเมื่อกำหนดเส้นทางได้แล้ว จะสามารถคำนวณเวลาที่เราจะใช้เดินทางตั้งแต่ไปจนกลับได้ ทำให้วางแผนในเรื่องจำนวนวันที่จะใช้ท่องเทียว และคำนวณค่าใช้จ่ายโดยประมาณต่อได้
    มาถึงขั้นตอนนี้แล้วผมจะนำโปรแกรมทัวร์ที่ผมเขียนขึ้นอย่างคร่าวๆเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นเป็นตัวอย่าง เพื่อนำไปประยุกต์ใช้สร้างโปรแกรมการเดินทางของตัวเอง

  ท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็คกางเต็นท์นอนเกาะสุดภาคตะวันออก “เกาะกูด เกาะหมาก”
ทำภารกิจกางเต็นท์นอนชิวๆ ปั่นจักรยานรอบเกาะหมาก ถ่ายรูปที่สุดเกาะกูด "แหลมอ่าวใหญ่"
 ใช้เวลาเดินทางทั้งหมด วัน 3 คืน
วันที่1 จากสถานีขนส่งเอกมัย – ตราด – ท่าเรือแหลมงอบ – เกาะหมาก
ออกเดินทางแต่เช้ามืดเพราะต้องใช้เวลาเดินทางไปตราดประมาณ 6 ชั่วโมง ถึงตราดหาข้าวเที่ยงกิน นั่งรถสองแถวต่อไปท่าเรือ นั่งเรือเฟอร์รี่ไปเกาะหมาก หาที่กางเต็นท์ ที่มีห้องน้ำให้ใช้ มองหาที่ฝากท้องใกล้ๆที่พัก กินข้าวเย็น พักผ่อน
วันที่2 เกาะหมาก
ลั่นลาปั่นจักรยานรอบเกาะหมาก แวะทำบุญที่วัดเกาะหมาก ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตก
วันที่3 เกาะหมาก – เกาะกูด
นั่งเรือเฟอร์รี่เดินทางต่อไปยังเกาะกูด เข้าที่พักกางเต็นท์ กินข้าวกลางวัน  เช่ามอเตอร์ไซท์ไปถ่ายรูปสุดเกาะที่แหลมอ่าวใหญ่ ซื้อซีฟู้ด กลับมาที่พักเล่นน้ำ กินข้าวเย็น พักผ่อน
วันที่4 เกาะกูด – ตราด – เอกมัย
ตื่นเช้าทำบุญใส่บาตร หามื้อเช้าเก็บบรรยากาศภาพความทรงจำก่อนเดินทางกลับ
แวะซื้อของฝาก เดินทางกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ

“””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
    โปรแกรมทัวร์นี้ เขียนขึ้นเพื่อสนองความต้องการของตัวผู้เขียนเองนะครับ ด้วยความเป็นคนชอบเที่ยวทะเลเป็นทุนเดิม และเกาะกูด เกาะหมาก  ก็เป็นเกาะท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่สุดภาคตะวันออกของไทยซึ่งผมเองอยากไปอยู่นานแล้ว เลยเขียนโปรแกรมนี้ขึ้นมา จากตัวอย่างโปรแกรมจะเห็นว่าในการเดินทางจะต้องใช้ทั้งรถทัวร์ในการเดินทางจาก กทม.ไปถึงจังหวัดตราด ต่อรถสองแถวไปท่าเรือ แล้วยังต้องขึ้นเรือเฟอร์รี่เพื่อเดินทางไปยังเกาะอีก ซึ่งข้อมูลในการเดินทางเหล่านี้ผู้เขียนล้วนได้มาจากการหาข้อมูลมาจากอินเทอร์เน็ตทั้งสิ้น รวมถึงเรื่อง ตารางเวลาเดินทางของรถ เรือ และอัตราค่าโดยสาร ทั้งนี้”การทราบข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวก่อนเดินทางนั้นจะเป็นประโยชน์ยิ่งกับผู้เดินทาง”

    3 ประเมินค่าใช้จ่ายในการเดินทางล่วงหน้า (เตรียมเมล็ดกาแฟ) เมื่อเรามีโปรแกรมทัวร์ของตัวเองแล้ว เรื่องต่อไปที่ต้องเตรียมก่อนการเดินทาง คือเรื่องการคำนวณค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการเดินทางโดยประมาณ จากโปรแกรมทัวร์ที่เราวางแผนการเดินทางไว้หมดแล้ว จะทำให้เห็นว่าในแต่ละวันเราจะมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ซึ่งหลักๆก็จะมี ค่าพาหนะในการเดินทาง ,ค่าบริการตามจุดท่องเที่ยวต่างๆ(ตามกิจกรรมที่เราเลือกทำ) ,ค่าอาหาร ,ค่าที่พัก ,ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดส่วนตัว เช่น ทำบุญ ซื้อของฝาก อยากกินขนม เป็นต้น
   ตัวอย่างวิธีคิดค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยประมาณ โดยผมจะเผื่อค่าใช้จ่ายในทุกส่วนไว้ให้มากกว่าความเป็นจริงนิดหน่อยนะครับ “ เผื่อไว้  ดีกว่าขาด ” 

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณทริป ”เกาะกูด เกาะหมาก” 4 วัน 3 คืน

ค่าพาหนะในการเดินทาง
ค่ารถโดยสารไป-กลับ รถไปขนส่งเอกมัยค่ารถทัวร์ (กรุงเทพฯ-ตราด) + รถสองแถวไปท่าเรือ = 1,000 บาท
ค่าเรือเฟอร์รี่ไป-กลับ (ท่าเรือแหลมงอบ-เกาะหมาก-เกาะกูด) = 1,200 บาท
ค่าบริการตามจุดท่องเที่ยว ค่าเช่ารถจักรยาน/มอเตอร์ไซค์ (เกาะหมาก-เกาะกูด) = 500 บาท
ค่าอาหาร 200 บาท  x 3 มื้อ x 4 วัน = 2,400 บาท   
ค่าที่พัก  ค่าบริการที่กางเต็นท์ 500 บาท x 3 คืน = 1,500 บาท
ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด  300 บาท x 4 วัน = 1,200 บาท

รวมค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทางโดยประมาณ = 7,800 บาท

                                                    “”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
   4  เตรียมตัวเดินทาง (น้ำเดือด) จะว่าด้วยเรื่อง“การเตรียมของลงกระเป๋าเดินทาง”โดยผมจะใช้หลัก 3 ข้อคือ
       1 ใช้ของที่มีอยู่แล้ว ซื้อใหม่ให้น้อยที่สุด (ประหยัด)
       2 ของที่นำไปต้องมีประโยชน์ในการเดินทาง น้ำหนักเบา และไม่กินพื้นที่ (ไม่สร้างภาระให้ตัวเอง)
       3 นำของใช้จำเป็นไปให้ครบ (อย่าหวังพึ่งน้ำบ่อหน้า)


   5 ออกเดินทาง (ชงกาแฟ) เก็บเกี่ยวเรื่องราว และความสุขระหว่างการเดินทาง (ละเมียดชิมกาแฟ)


   6 เก็บภาพถ่ายและเรื่องราวมาแบ่งบัน (มีพลัง สดชื่น แจ่มใส)


      โดยในทุกขั้นตอนที่ว่ามาทั้งหมดนี้ ส่วนสำคัญที่สุดคือ การเดินทาง เพราะระหว่างทางนั้นเราอาจจะเจอทั้งเรื่องดี หรือเรื่องที่เราไม่พึงปรารถนา ที่จะเข้ามาก็ได้ ขอแนะนำให้เปิดใจยอมรับว่า “ในการเดินทางไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ถ้าอยากให้ดั้งใจในทุกสิ่งอย่างให้อยู่กับบ้านดูทีวีดีกว่า” และเมื่อคุณเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมแล้ว ก็ออกผจญภัยกันได้เลย... และบทนี้ขอจบเรื่องราว ของการเตรียมตัวเดินทางไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ
     ขอขอบพระคุณท่านผู้อ่านเป็นอย่างสูง ที่ให้ความสนใจอ่านเรื่องราวของบทความมาจนถึงตรงนี้ โดยผู้เขียนหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้ จะมีประโยชน์กับผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อย และท้ายนี้ ขอให้ผู้อ่านทุกท่าน   “มีความสุข สนุก ปลอดภัยทุกครั้งที่เดินทางท่องเที่ยวนะครับ”   
   “”””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
โปรดติดตามเรื่องราวการเดินทางบทต่อไปของ ลุงแบ็คแพ็ค
ใน”รักเลเรา”เที่ยวทะเลแบบสุขใจต้องใส่ใจในธรรมชาติ

นั่งรถไฟไปห้วยยาง กางเต้นท์นอนเล่นหาดนวกร (Day2) พร้อมสรุปต่าใช้จ่าย

สวัสดีเช้าวันใหม่กับหาดนวกร    หลังเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟันทำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วไปทานมื้อเช้ากันเลยครับที่ร้านอาหารขอ...